top of page
ค้นหา

Born to be Temp. Studio : "สิ่งไหนที่เราทำจากความสุข มันคือความงาม"

อัปเดตเมื่อ 22 ต.ค. 2562



ซ้าย : พี่อาย ขวา : พี่ขะ

หากพูดถึงคำว่า"ความสุข" หลายคนคงมีคำตอบสำหรับตัวเองอยู่แล้วว่าความสุขสำหรับเราคืออะไร บางคนความสุขอาจจะเป็นการได้ไปช้อปปิ้ง ซื้อของที่อยากได้ ได้ไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนสนิท หรือบางคนอาจจะมีความสุขกับสิ่งง่ายๆอย่างเช่นการได้นอนอยู่บ้าน อ่านหนังสือนิยาย ดูซีรี่ส์ในวันหยุด แต่สิ่งเหล่านั้นเรากลับรู้สึกว่ามันสร้างความสุขให้เราได้แค่ชั่วคราว เมื่อถึงเวลาที่เราต้องกลับไปทำงานแล้ว ความเครียดในเรื่องต่างๆมักจะกลับมาตบหน้าเราเสมอ แต่สำหรับสองเพื่อนซี้ผู้ก่อตั้ง "Temp. Studio" อย่าง พี่อาย และพี่ขะ กลับมีวิธีการสร้างความสุขให้กับชีวิต ด้วยการทำงานกับสิ่งที่ตัวเองรัก พูดเหมือนทำง่ายนะครับ ฮ่าๆ(หัวเราะ) แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วมันกลับยากเหลือเกินที่เราจะค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักและมีความสุขกับมันจริงๆ

Blog นี้ ผมจึงอยากชวนทุกคนไปนั่งคุยทำความรู้จักกับทั้งสองคนดูครับ ว่าอะไรที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนสองคนที่มีชีวิตแตกต่างกัน มาบรรจบพบเจอความสุขที่เหมือนกันอย่างการปั้นดินเผาเซรามิก ณ "Temp. Studio" สตูดิโอเซรามิกดีไซน์แห่งแรกของจังหวัดอุบลราชธานี


ณ บ้านเลขที่ 503 หมู่ 3 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ผมได้มีโอกาสขับรถไปนั่งคุยกับสองเพื่อนซี้อย่างพี่ขะ ขนิษฐา ขันคำ นักออกแบบเซรามิก และ พี่อาย วดียา เนตรพระ สถาปนิก ผู้หลงไหลในการปั้นดินหลังรู้สึกเหนื่อยกับการทำงานสถาปัตย์ หลังจอดรถเสร็จ พี่อายเดินมาเปิดประตูบ้านให้ผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม "อ้าว พูดถึงสตูดิโอทำไมไปบ้าน?" ผมไม่ได้ไปผิดที่หรอกครับ เพราะทั้งสองเปลี่ยนหน้าบ้านส่วนหนึ่งให้กลายเป็นสตูดิโอที่ทั้งคู่ใช้ในการปั้นดิน สร้างสรรค์ผลงานศิลปะช่วยกันภายใต้ชื่อแบรนด์ Temp. Studio

หลังจากได้เข้าไปนั่งพัก และเดินสำรวจสตูดิโอแล้ว ผลสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเองของทั้งคู่ที่ถูกส่งผ่านมาจากบรรยากาศโดยรอบทันที ด้วยการออกแบบผนังที่ทำจากตะแกรงสีขาว ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งมากราวกับกำลังนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน หลังเดินชมสตูดิโอจนพอใจแล้ว เราจึงได้นั่งคุยกันถึงสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินในสร้างที่แห่งนี้ขึ้นมา



อะไรที่ทำให้ตัดสินใจมาเปิดสตูดิโอนี้ขึ้นมา?

พี่อาย : คือเมื่อสองปีก่อนตอนนั้นเราอยู่บ้านด้วยกัน ขะเขาก็จะทำงานเซรามิกอยู่แล้ว ส่วนเราก็จะทำงานสถาปัตยกรรม นั่งอยู่หน้าคอม เขียน Cad เขียนแบบ ส่วนขะเขาก็จะนั่งปั้นไอ้ดินเนี่ย เราก็เลยคิดในใจว่า “มันทำอะไรนักหนาวะ”

ปกติเราจะเครียดกับงานตรงหน้าเรามาก นอนไม่หลับเหมือนเป็นโรคเครียด แล้ววันนั้นขะเขาก็คงจะเห็นสภาพเรา เขาก็เลยพูดขึ้นมาว่า “อยากลองปั้นดินดูมั้ย เผื่อช่วยได้” ตอนนั้นเราก็คิดแค่ว่าเออ ว่างพอดี ลองหน่อยละกันวะ พอได้ลองปั้นปุ้บ ความเครียดมันหายไปหมดเลยวะ มันทำให้เราผ่อนคลายขึ้น นอนหลับง่ายขึ้น ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ไม่เหมือนกับงานคอมที่เราเคยทำที่ต้องแบบ โอ้ย ! เอาอีกแล้วทำตรงนี้ผิดต้องแก้ตรงนั้นใหม่ จะทันเวลามั้ย แต่การปั้นดินเราไม่ต้องรู้สึกแบบนั้น มันตรงกันข้ามกันไปหมดเลย พอเราปั้นดินพัง ขะก็จะพูดว่า “เฮ้ยไม่เป็นไร ปั้นใหม่ซิ ชิลๆไม่ต้องรีบ” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอ แตกต่างจากการตัดโมเดลที่เคยทำที่แค่พังไปนิดเดียวก็ทำให้เรารู้สึกท้อแล้วเพราะต้องมานั่งวัดสเกลกันใหม่

ผลงานแรกที่เราปั้น เป็นรูปบ้าน คอลเลคชั่นนั้นเราลองเอาไปขายที่เชียงใหม่ดู ปรากฏว่ามันขายได้จริง มีคนซื้อ เราก็เลยเกิดไอเดียกับขะว่า เฮ้ยเราทำแบรนกันดีมั้ย ขะก็เห็นด้วยกับเรา ก็เลยคุยกันว่าเอาชื่ออะไรดี คืนนั้นเราก็นั่งคิดกันไปๆมาๆ ก็ได้ชื่อ Temp.

ทุกอย่างมันเริ่มจากความอยากของเรา

ชื่อนี้มันมีความเป็นไปเป็นมายังไงครับ?

พี่อาย : คำว่า Temp. มันมาจากการที่ตอนนั้นเราเรียน ป.โท เกี่ยวกับเรื่องอุณหภูมิอยู่ ซึ่งเวลาเราทำวิจัยส่ง เรามักจะใช้ชื่อย่อว่า Temp. แล้วมันไปคล้องกันกับเรื่องอุณหภูมิของการเผาเซรามิกพอดี ก็เลยตกลงกันว่าใช้ชื่อนี้แหละ


Concept ในการทำงานของเราส่วนมากเกิดจากอะไร?

พี่อาย : เอาจริงๆนะ มันเริ่มมาจากการอยากทำ ทุกอย่างมันเริ่มจากความอยากของเรา แต่ว่าที่เน้นหลักๆก็จะเป็นงานที่ปั้นด้วยมือ เรียกว่า Free Form ที่เป็นงาน Original ของเราเอง เป็นสไตล์ Organic Form


ไปขายที่ไหนมาแล้วบ้าง?

พี่อาย : หลักๆจะไปขายที่เชียงใหม่ เพราะถ้าพูดกันจริงๆ แถวนี้ยังไม่นิยมกันเท่าไหร่ในเรื่องของงาน Craft ในความรู้สึกเราส่วนมากอุบล ฯ จะดังเรื่องงาน Craft ผ้ามากกว่า พวกผ้ากาบบัว ผ้าย้อม ผ้าหมักพวกนี้ จ.อุบล ฯ เราจะมีชื่อเสียงในวงการ ส่วนงานที่เป็นเซรามิกแบบที่เราทำยังไม่ค่อยมีให้เห็น ฮ่า ๆ ๆ (หัวเราะ) ดินที่เราใช้ปั้นก็เป็นดินของจ.อุบล ฯ เป็นดินจากห้วยวังนอง ผสมกับดิน Stone Ware สีก็จะออกแดงๆหน่อย แต่เราก็จะได้เป็น Original Texture ของเราเอง




สีเราก็ผสมขึ้นมาเองจากน้ำดิน test สี ทำอะไรกันเอง


สีที่ใช้ทำด้วยใช่มั้ยครับ?

พี่อาย : ใช่ๆ สีเราก็ผสมขึ้นมาเองจากน้ำดิน Test สี ทำอะไรกันเอง สีก็จะออกไปทาง Earth Tone เกือบทั้งหมดเลย แรงบันดาลใจในการออกแบบลวดลายส่วนใหญ่ก็จะมาจากความเป็นอีสาน เป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนอีสานนี่แหละ เพราะสำหรับเรา เราภูมิใจในความเป็นอีสานของเราอยู่แล้ว เรามองว่ามันยูนีคได้ รู้สึกว่าวิถีชีวิตแบบอีสานนี่แหละมีเสน่ห์ อย่างเช่นการจับปลา คนส่วนใหญ่จะมองว่าการจับปลามันสกปรก แต่สำหรับเราแล้ว เรารู้สึกว่ามันน่าสนุก อยากเข้าไปทำกับเขา

ผลงานที่ชอบที่สุดที่เคยทำมา?

พี่อาย : จริงๆก็ชอบทุกอันนะ ฮ่า ๆ (หัวเราะ) แต่ถ้าชอบที่สุดคงจะเป็น “สลอธ” ความจริงผลงานที่ชอบเราไม่ค่อยได้เอาไปขายนะ เราเก็บไว้เอง

พี่ขะ : เป็นอย่างนี้แหละ สมัยเรียนก็ไม่ขาย สุดท้ายก็ต้องแจกให้เพื่อน ฮ่า ๆ ๆ (หัวเราะ)

คำว่าขายได้ของเราไม่ได้แปลว่าต้องเป็นเงิน แค่มีคนชอบ ก็ถือว่างานเราขายได้แล้ว


สลอธ ที่พี่อายปั้น เพราะคิดว่าพี่ขะเหมือนสลอธ

ถามเรื่องมีสาระมาเยอะแล้ว เรามาถามเรื่องส่วนตัวกันบ้างดีกว่าครับ

อะไรที่ทำให้กลายมาเป็นคนที่รักการปั้นดินได้มากขนาดนี้?

พี่ขะ : มันเริ่มจากเราเรียนเซรามิกตอน ป.ตรีนั่นแหละ เสร็จแล้วก็ไปเรียนต่อที่อินเดีย ปกติเราจะนำเอาเรื่องวิถีชีวิตมาทำเป็นงานอยู่แล้ว เช่นชีวิตวัยเด็กของเรา เราก็เอามาทำเป็นงาน พูดง่าย ๆ ก็คือเราเป็นคนที่โหยหาความทรงจำดี ๆ ในอดีตอยู่แล้ว

แล้วพอเรียนจบมาทำงานจริงเราก็เริ่มเครียด ก่อนที่เราจะมาทำงานนี้เราก็เริ่มเป็นอาจารย์พิเศษ เสร็จแล้วก็ได้ไปทำงานบริษัทญี่ปุ่นสักพัก แล้วก็กลับมาเป็นอาจารย์ประจำที่อุบล ฯ ทำงานในระบบชีวิตมันต้องจริงจังอยู่ตลอด ซึ่งมันตรงข้ามกับเรา เราเลยรู้สึกว่ามันอยู่ไม่ได้ เราต้องทำอะไรสักอย่างที่มันเป็นความสุขให้เราได้บ้าง ก็เลยมาปั้นดินนี่แหละ ตอนแรกก็ยังไม่มีเตาเผา ไม่มีอะไรเลย ปั้น ๆ ๆ ไปเรื่อยๆมันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย


พี่อาย : ถ้าพูดกันจริงๆ เราทำได้เพราะว่าเราเบื่องานประจำเราด้วยแหละ เรารู้สึกว่ามันเป็นระบบหุ่นยนต์ อย่างงานสถาปัตยกรรมที่เราทำเรารู้สึกเหนื่อยกับมันมาก ต้องมาเจอคนหลายแบบ บรีฟงาน แก้งานนู่นนี่ แล้วเราก็คิดว่าทำไมเราต้องมาคุยอะไรที่มันยุ่งยากแบบนี้ด้วยวะ แต่กับการปั้นดินมันไม่ใช่แบบนั้น มันทำให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น


พี่ขะทำงานเซรามิกมานานรึยัง?

พี่ขะ : ที่จริงพี่เรียนศิลปะมาตั้งแต่ประถมเลย พอเข้ามัธยมก็เรียนสายศิลป์ เรียนเพียวอาร์ตเลย ตอนนั้นโรงเรียนเราน่าจะเป็นโรงเรียนมัธยมแห่งแรกที่สอนเพียวอาร์ตเลยนะ เรียนพื้นฐานทุกอย่าง ทั้งวาด และปั้น จากนั้นก็มาเข้ามหาลัยแล้วก็เริ่มจริงจังกับการทำเซรามิกมาตั้งแต่เรียนปีสอง


สมัยเรียนชีวิตเป็นยังไงบ้างครับ?

พี่ขะ : เราเป็นคนพูดไม่เก่ง เลยเน้นพรีเซนต์ตัวเองผ่านงานที่ทำ แต่เวลาไปพรีเซนต์งานกับอาจารย์เราก็จะพูดไม่รู้เรื่อง เลยโดนไล่ลงตลอด แหะ ๆ (ยิ้มเขิน) ช่วงทำทีสีส ตอนนั้นเราทำเรื่องความทรงจำวัยเด็กนี่แหละ ขึ้นคาบแรกเราเตรียมบอร์ดพรีเซนต์ไปเยอะมาก อาจารย์มาเห็นท่านถามคำเดียว “กลับบ้านมารึยัง” เราก็บอกว่ายัง วันนั้นอาจารย์ไล่กลับบ้านเลย เราก็เก็บของกลับเพราะอาจารย์ไม่ให้พรีเซนต์ อาจารย์ให้เรากลับไปสัมผัสความทรงจำวัยเด็กที่บ้านจริงๆก่อน เพื่อให้เข้าใจความรู้สึกตรงนั้นจริงๆ

พี่ขะเป็นคนอุบล ฯ รึเปล่าครับ?

พี่ขะ : ไม่ พื้นเพเราเป็นคน จ.เลย แต่เป็นคนไม่ค่อยได้อยู่บ้านหรอก ไปเรื่อย ๆ ฮ่า ๆ ๆ (หัวเราะ) สมัยมัธยมเราเป็นคนอยู่ติดบ้านนะ ไม่ได้ไปไหน พอจบมัธยมปลายก็ไปเรียนศิลปากรสี่ปี ไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่ เรียนจบก็ไปเรียนต่อที่อินเดียเลย มันเลยทำให้เราเป็นคนที่คิดถึงบ้าน คิดถึงความทรงจำวัยเด็ก

ผลงานของเราส่วนมากจะได้แรงบันดาลใจมาจากวัยเด็ก


นอกจากมุมที่ต้องทำงานเป็นอาจารแล้วมีมุมอื่นที่อยากให้คนอื่นรู้จักอีกมั้ย?

พี่อาย : จริงๆเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราเป็นอาจารย์นะ (ยิ้ม) อยากให้คนอื่นมองเราเป็นคนทั่วไปเฉย ๆ เวลาเจอกันจะได้ไม่รู้สึกเกร็ง

ชอบทำอย่างอื่นอีกมั้ยนอกจากปั้นดิน?

พี่ขะ : วาดรูป เราวาดไว้เป็นคอเลคชั่นเลยนะ ใส่กรอบติดไว้ในบ้านเลย งานวาดส่วนใหญ่ก็เป็นแนวเดียวกันนี่แหละ ลงสีน้ำง่ายๆเล่าเรื่องชีวิตวัยเด็ก และเราก็ชอบเที่ยวป่า เที่ยวภูเขามากกว่า สงบๆ


พี่อาย : เราชอบดูหนังมาก แต่ขะไม่ชอบดูหนัง ฮ่า ๆ ๆ (หัวเราะ) ชีวิตเรากับขะจะตรงข้ามกันทุกอย่างเลย เราดูหนังบ่อยมาก สามารถไปดูหนังคนเดียวในโรงได้ประจำ กลางคืนก็จะเปิดหนังดูทุกคืนก่อนนอน ฟังเพลงก็ฟังได้ทุกแนว บางวันก็ Jazz แล้วแต่อารมณ์ ส่วนขะเขาก็จะไปทางลูกทุ่ง หมอลำมากกว่า

และฉันชอบปาร์ตี้ (ยิ้ม) ชอบไปที่สวยๆ ชอบสังคมที่เพื่อนเยอะๆ


พี่ขะ : พี่เคยคิดจะไปบวชตั้งแต่จบ ป.6 แล้วนะ กะว่าจะบวชเรียนต่อมัธยมแต่พ่อห้าม ฮ่า ๆ ๆ (หัวเราะ) ส่วนอายเขาจะไม่ค่อยเข้าวัดเลย นี่ก็เพิ่งจะมาเริ่มหัดเข้าวัดเพราะเราชวนนี่แหละ


เจ้าของ Temp Studio ตัวจริง

สิ่งไหนที่เราทำจากความสุข มันคือความงาม


พี่อาย : เราก็เพิ่งมาเข้าใจชีวิตก็ตอนไปกับขะนี่แหละ ตอนขะชวนไปลงพื้นที่เราก็ได้ไปเห็นวิถีชีวิต ไปเจอคุณป้านั่งทอผ้า เจอคนจับปลา เราก็ถามว่า “เฮ้ยขะ นี่เรียกอะไรวะ อันนี้คืออะไร” ยอมรับเลยว่าไม่เคยเห็นเพราะแต่ก่อนเราเป็นเด็กในเมืองมาตลอด ที่ผ่านมาเราสองคนก็จะคุยกันทุกเรื่อง อะไรไม่โอเคเราก็จะคุยกัน เวลาทำงานเราก็จะคอยถามตลอดว่าอันนี้โอเคมั้ย ๆ แต่ขะเขาก็จะไม่ค่อยอะไรมาก เออๆออๆไปกับเราหมด ฮ่า ๆ ๆ (หัวเราะ)


พี่ขะ : คืองี้เว่ย เราคิดว่าสิ่งไหนที่เราทำจากความสุข มันคือความงามทั้งนั้นแหละ ฮ่า ๆ ๆ (ทำหน้าเขิน)


พี่อาย : ทำไปมันก็มีความสุขแหละ แต่เงินหมดนี่มันไม่สุขนะ ฮ่า ๆ ๆ มีครั้งหนึ่งเราปล่อยตามใจขะเลย ขะอยากทำอะไรทำเต็มที่เลย ตอนนั้นขะเขาก็จะเอางานเซรามิกไปลองออกแบบใส่กับไม้บ้าง ใส่กับสายไฟ กับนู่นนี่เยอะไปหมด ปรากฏว่าเอาไปขายที่บ้านและสวน ปรากฏว่าพังหมด! ขาดทุน เราก็เลยบอกกับขะว่า “ไม่เอาแบบนี้อีกแล้วนะ” หลังจากนั้นเราก็ต้องคอยประคับประคองเรื่องทุนด้วย ไม่งั้นแบรนมันก็อยู่ไม่ได้



การไปเที่ยวนี่มันทำให้เราได้แรงบันดาลใจเยอะขึ้นนะ

อยากให้เล่าถึงงานที่กำลังจะได้ไปแสดงที่เชียงใหม่

พี่อาย : ตอนนี้เรากำลังทำคอลเล็คชั่น ชื่อ Journey in Russia ไปแสดงที่เชียงใหม่คะ ในงาน Chiangmai Design Week วันที่ 7-15 ธันวาคม ที่หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่

งานชิ้นนี้มันได้มาจากตอนที่เราไปเที่ยวที่รัสเซีย แล้วเราไปเจอตุ๊กตาแม่ลูกดก เรารู้สึกชอบมาก ก็เลยหยิบเอาแรงบันดาลใจตรงนี้มาออกแบบงานของเรา ทำเป็นแจกัน แต่วาดลายอีสานของเราลงไป

การไปเที่ยวนี่มันทำให้เราได้แรงบันดาลใจเยอะขึ้นนะ เราสามารถหยิบเอาความรู้สึก หรือประสบการณ์ที่เราไปพบเจอตรงนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ตลอด ถือเป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยไปอยู่ตรงนั้น พบเจอสิ่งนั้น


Journey in Russia.


อยากจะฝากบอกอะไรถึงคนที่กำลังอ่านอยู่มั้ยครับ?

พี่อาย : ก็แวะมาเยี่ยมกันได้ตลอดนะคะ ใครที่อยากมาดูงานเซรามิกของอุบล ฯ หรือถ้าอยากฝึกทำเราก็สอนได้ ตอนนี้มีเปิดสอนปั้นเซรามิกอยู่สองคอร์ส คอร์สผู้ใหญ่จะเป็นวันเสาร์ 10:00 – 17:00 น. มี 3 คอร์ส สอนปั้นมือ สอนใช้แป้นหมุนจิ๋ว และแป้นหมุนมาตรฐาน สอนทุกอย่างตั้งแต่เรื่องดิน การเริ่มปั้น ลงสี เคลือบงาน เผางาน จนจบงานและเอาไปขายได้ ความจริงไม่ต้องเป็นคลาสก็มาลองปั้นได้ ชม.ละ 200 และ 350 บาท

ส่วนคอร์สเด็กจะมี 2 คอร์ส ก็คือการปั้นมือ เพื่อให้เด็กๆได้ฝึกกล้ามเนื้อมือและทักษะด้านการปั้น คอร์สที่สองจะเป็นคอร์สศิลปะ สอนวาดภาพ สีไม้ สีเทียน สีน้ำ

น้องมะม่วง นักเรียนคนแรกของคลาสเด็ก

สุดท้ายนี้แม้ว่าทั้งคู่เพิ่งจะเริ่มเปิดสตูดิโอเป็นหลักแหล่งมาได้ไม่นาน แต่สิ่งที่ทั้งสองได้เล่าให้เราฟังนั้นคงการันตีได้ถึงความรักในการทำงานศิลปะของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทสัมภาษนี้จะทำให้ใครอีกหลายคนที่ได้อ่าน เกิดแรงบันดาลใจในการก้าวออกมาทำอะไรใหม่ๆที่ตนเองรักกันมากขึ้น แม้มันอาจจะยากลำบากในช่วงแรก แต่มันก็เป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับคนที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักอย่างจริงจัง ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า "สิ่งไหนที่ทำด้วยความสุข มันคือความงาม"

ดู 299 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด
bottom of page